วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เจอคุณหมอครั้งแรก


หลังจากนั้นประมาณ 3-4 วัน พ่อก็พาเราไปหาหมอที่คลินิกแห่งหนึ่ง
ตอนแรกที่ไปถึงหน้าคลินิก เราก็ดูชื่อหมอแล้วก็ดูว่าหมอจบเฉพาะทางด้านไหนมา
ปรากฏว่าคุณหมอจบด้าน "จิตเวชศาสตร์" มาโดยตรงเลย
เราเลยเบาใจไปหน่อยนึงว่าอย่างน้อยคุณหมอที่เรามาเจอก็เป็นคุณหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้โดยตรง








ตอนทำบัตรคนไข้นี่ยอมรับว่าเครียดนะ ไม่ได้นึกมาก่อนว่าจะต้องตอบคำถามว่ายังไงบ้าง
พอพี่ที่อยู่ที่ counter ก็ถามว่าทำไมถึงมาหาหมอ เราก็เลยบอกว่า ช่วงนี้นอนไม่หลับ ค่อนข้างเครียด
แล้วหลังจากนั้นก็ไปนั่งรอเข้าพบคุณหมอ



ตอนเข้าไปเจอคุณหมอ เราก็ดึงมือพ่อเราเข้าไปด้วยนะ
คุณหมอเป็นผู้ชายอายุประมาณสี่สิบกว่าๆ ท่าทางใจดีมาก
พอคุณหมอถามว่าเป็นอะไร เราก็บอกไปตรงๆเลยว่า เราสงสัยว่าตัวเองจะเป็นโรคซึมเศร้า ตรงประเด็นมากจนทั้งพ่อทั้งคุณหมอตกใจ
แล้วคุณหมอก็ถามว่าทำไม ก็เลยเล่าอาการให้ฟัง คุยกันพักนึง พอคุณหมอรู้ว่าเราเรียนอยู่ไกลบ้านคุณหมอก็ตกใจนะ อยากให้เรากลับมาเรียนใกล้ๆ มั้ง -_-;;  แต่เราก็ไม่ยอม






เราจำรายละเอียดตอนเจอคุณหมอครั้งแรกไม่ค่อยได้แล้ว แต่คุณหมอใจดีมากเหมือนอิมเมจเลย :)
คุณหมอบอกว่า เราโชคดีที่สังเกตตัวเองได้ แล้วก็รีบพาตัวเองมาหาหมอ ก่อนที่อะไรมันจะสายไป
สิ่งที่เราจำติดใจจนถึงวันนี้เลยคือ ตอนที่คุณหมอให้กำลังใจเรา แล้วก็บอกว่าเราต้องเข้มแข็ง เพราะว่าเรามีโอกาสหาย ขอแค่ให้พยายามสู้ไปด้วยกัน เราร้องไห้เลย

เราเพิ่งมานึกได้ทีหลังนะว่าคุณหมอไม่ได้พูดยืนยันฟันธงว่าเราป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า



ครั้งแรกไปเจอคุณหมอก็ได้ยากินสองตัว เป็นยาปรับอารมณ์ อีกตัวนึงเราลืมไปแล้ว แล้วก็มียานอนหลับด้วย คุณหมอบอกว่าถ้าเราหลับนอนเองได้ก็อยากให้พยายาม แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ถึงจะกินยา (คุณหมอทุกคนพูดแบบนี้หมดเลยนะคะเรื่องยานอนหลับ)







แล้วคุณหมอก็นัดเราอีกครั้งอีก 10 วันข้างหน้า


สงสัย..?

มาเขียนบล็อกนี้ก็เพราะได้คุยกับคุณ @depme แล้วก็ได้คำเสนอมาว่าควรจะเขียนบล็อกเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ของผู้ป่วย Bipolar Disorder เราเองไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญอะไรทางด้านจิตเวชศาสตรนะคะ ก็ได้แต่หวังว่าบล็อกและเรื่องราวของเราอาจจะช่วยผู้ป่วย หรือสงสัยว่าจะป่วยและอยากได้กำลังใจบ้างก็เท่านั้นค่ะ









การยอมรับว่าตัวเองเป็นผู้ป่วยจิตเวชนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ


แล้วทำไมจู่ๆ เราถึงตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราอาจจะมีอาการผิดปกติล่ะ?

เราเริ่มสังเกตอาการของตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ ก็เมื่อช่วงเดือนมีนาคมปีที่แล้ว (2554) เป็นช่วงปิดเทอมที่เราต้องกลับบ้านที่ต่างจังหวัด
เราเพิ่งเลิกคุยกับคนที่คุยกันมาหลายเดือนไป
ช่วงนั้นเรามีปัญหาเรื่องการกินการนอนมากๆ ด้วย
คือ เบื่ออาหาร ทานได้น้อยมาก
ตอนนอนก็นอนหลับไม่สนิท หลับๆ ตื่นๆ อยู่ตลอด ตื่นมาก็เพลีย ไม่มีแรง
แต่อารมณ์เปลี่ยนแบบเหวี่ยงขึ้นลงรุนแรงมาก พอดีก็ดีใจจนหาย
กลายเป็นคนเฮฮาคุยเก่ง ใช้เงินเก่ง (จนควบคุมตัวเองไม่ได้)

แต่พอร้ายนี่ก็จัดว่าไม่มีใครเข้าหน้าติดเลยแม้แต่คนเดียว
เราทะเลาะกับทุกคนในบ้าน น้อยใจแล้วก็คิดว่าไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เราคิดเลย

ปกติเราเป็นคนที่ชอบเก็บตัว ไม่ชอบออกไปไหน ยิ่งที่ที่มีคนเยอะๆ นี่ขอลา
ชอบใช้เวลาอยู่ในห้อง นอนฟังเพลง อ่านหนังสือเงียบๆ คนเดียวมากกว่า
ช่วงนั้นก็อยู่ในห้องนอนทั้งวันเพราะคิดว่าออกมาข้างนอกก็คุยกับใครไม่ได้
เรามักจะคิดว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องมีแต่คนเข้าใจเราผิด
เราเลยเลือกที่จะไม่คุยกับใครเลย เพราะทุกครั้งที่เริ่มต้นคุยกับใคร
ถ้าไม่จบลงด้วยการทะเลาะ ก็จะจบด้วยการที่เราต้องเดินเข้ามาร้องไห้ในห้องคนเดียว


อีกอย่าง พอนึกถึงเรื่องคนคนนั้นมันก็อึดอัดใจไม่ใช่น้อย
บางทีก็อยากเล่าให้แม่ฟังบ้าง แต่ก็เลือกที่จะเก็บเอาไว้ดีกว่า





แล้วทำไมถึงตั้งข้อสงสัยว่าจะเป็น Bipolar ล่ะ?


ตอนแรกก็ไม่ได้สงสัยว่าตัวแรกจะเป็นไบโพล่าร์หรอก
แต่หลังๆ มาชักจะรู้สึกว่าตัวเองเบื่อโลก เบื่อทุกอย่าง
อะไรที่เคยทำแล้วมีความสุุขก็ทำไม่ได้ พยายามหลบหน้าเพื่อนทุกคน
อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง จนกลัวว่า ถ้ายังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงเปิดเทอมแล้วจะเป็นยังไงต่อ
พอคิดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่โทษตัวเอง
นั่งร้องไห้ทั้งวันจนรู้สึกว่าตัวเองจะยิ้มไม่ได้ หัวเราะไม่ได้อีกต่อไปแล้ว


แล้วจู่ๆ ก็คิดขึ้นมาว่า หรือเราจะเป็นโรคซึมเศร้า?
คิดได้แบบนั้นก็รีบเปิดอินเตอร์เน็ต เสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับอาการ รายละเอียดต่างๆ






จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่เราสงสัยว่าตัวเองจะป่วยเป็นโรคซึมเศร้า
ก่อนหน้านั้น เคยรู้สึกครั้งนึงช่วงปิดเทอมก่อนขึ้น ม.6
แต่ก็คิดว่าเราคงเครียดกับการหนังสือเพื่อเตรียมสอบแอดมิชชั่นมากกว่า ก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก



พอเริ่มหาข้อมูลจนเกือบจะแน่ใจแล้ว เราก็ย้ำตัวเองอีกทีด้วยการเข้าไปในเว็บไซต์ของกรมสุขภาพจิต แล้วลองทำแบบประเมินต่างๆ ซึ่งผลก็ออกมาว่า เรามีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า ควรไปพบจิตแพทย์ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้จะทำยังไง ไม่กล้าบอกพ่อกับแม่ด้วย เลยคิดว่า ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนสิ

แล้วเราก็เริ่มค้นหาคลินิกจิตแพทย์ที่อยู่ใกล้ที่สุด  อีกอย่างที่ตัดสินใจไม่บอกใครเลยกะว่าจะแอบไปหาหมอคนเดียว เพราะคิดแค่ว่าไม่มีใครเข้าใจเราหรอก เผลอๆ จะคิดว่าเราเป็นบ้าแล้วส่งเราไปรักษาที่อื่นแล้วจะไม่ได้เรียนต่อรึเปล่า (ฟังดูเว่อร์นะ แต่ตอนนั้นคิดแบบนี้จริงๆ...)



แต่สุดท้ายแล้วเราก็ยอมแพ้

เราต้องการความช่วยเหลือจากใครสักคน เลยรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่หาได้แล้วลงไปคุยกับพ่อ ซึ่งดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
พ่อรับปากว่าจะพาเราไปเจอคุณหมอ ตอนนั้นด้วยความกลัว เราเลยบอกพ่อว่าห้ามบอกเรื่องนี้กับใคร โดยเฉพาะแม่



แล้วเราก็ตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะไปพบคุณหมอ...